บทความ

เจาะลึกทุกปัญหาสิว กับ Palida Clinic

        “สิว” หนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจหลาย ๆ คน โดยในเฉพาะวัยรุ่นทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่อาการของสิวอาจจะไม่รุนแรงนัก แต่สิวในบางคนอาการจะรุนแรงและอักเสบมาก และยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อสิวหายแล้วยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง รอยบุ๋ม หรือรอยนูน เป็นต้น

สาเหตุที่ก่อให้เกิดสิว ?

  • Hormone การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ‘ฮอร์โมนแอนโดรเจน’ จะมีระดับสูงในช่วงวัยรุ่นโดยเฉพาะเพศชาย ทำให้เราพบสิวในช่วงอายุนี้มากกว่าช่วงอื่น ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น มีการสร้างไขมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
  • Food อาหาร เช่น ช็อกโกแลต หรือ อาหารมันๆ ทำให้เกิดสิว อย่าลืมสังเกตว่าอาหารตัวเองด้วยนะคะ ว่าอาหารชนิดใดที่ทำให้อาการสิว หรืออาการอักเสบของผิวแย่ลง อาจลองหลีกเลี่ยงหรือหยุดรับประทานอาหารชนิดนั้นๆ แล้วสังเกตว่าอาการสิวอักเสบดีขึ้นหรือไม่
  • Cosmetics การใช้เครื่องสำอางก็เป็นสาเหตุหนึ่งของสิว สำหรับท่านที่มีผิวแพ้ง่าย พยายามใช้เครื่องสำอางให้น้อยที่สุด หากจำเป็นต้องใช้ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) นอกจากนี้การใช้สเปรย์หรือเจลบำรุงเส้นผม ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้า
  • Stress ความเครียดจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดสิว
  • Medication ยาบางอย่าง เช่น สเตียรอยด์และลิเธียม มีรายงานว่าสามารถทำให้เกิดสิวได้ในบางคน
  • Genes กรรมพันธุ์มีผลต่อการเกิดสิวด้วยเช่นกัน ถ้าพ่อแม่มีประวัติเป็นสิวในวัยรุ่น ลูกใน วัยรุ่นก็มีโอกาสที่จะเป็นสิวด้วย

วิธีการรักษาสิว

        การรักษาสิวสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการยาทา การรับประทานยา การทำหัตถการ รวมไปถึงการทำการรักษาด้วยเลเซอร์ ซึ่งการรักษาในแต่ละกลุ่ม มีการออกฤทธิ์ และผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการรักษาที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการรักษาอาจใช้วิธีร่วมกันได้ดังนี้

  • การใช้ยาในการรักษาสิว
  1. ความรุนแรงของสิวระดับน้อย อาจพิจารณาใช้ยาทาภายนอก โดยมีกลุ่มยาที่ใช้หลักๆ ได้แก่ ยาทาละลายหัวสิว ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ และ ยาทากลุ่มเรตินอล เพื่อลดการเกิดใหม่ของสิวและลดสิวอุดตัน
  2. ความรุนแรงของสิวระดับมาก อาจพิจารณาใช้ยารับประทาน โดยยารับประทาน มี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ ยาควบคุมระดับฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิด และ ยากลุ่มกรดวิตามินเอ 
  • การทำหัตถการต่าง ๆ ในการรักษาสิว
  1. การกดสิว และ การฉีดสิว การกดสิวจะใช้ในกรณีสิวอุดตัน และ การฉีดสิวจะใช้ในกรณีสิวอักเสบ เพื่อช่วยให้สิวยุบ และลดการอักเสบได้เร็วขึ้น
  2. การใช้กรดผลไม้ผลัดเซลล์ผิว (Chemical peel) เพื่อช่วยละลายสิวอุดตันและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมถึงช่วยลดรอยแผลเป็นซึ่งเกิดจากสิว
  3. การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ (Laser and Light treatments) ปัจจุบันมีการใช้เลเซอร์ เพื่อช่วยในการรักษาสิวและรักษารอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพหลายชนิด เช่น 
  • กลุ่มลดสิวอักเสบ Diode lasers, Photopneumatic therap
  • กลุ่มลดสิวอักเสบและรอยแดงสิว Pulsed Dye Laser (V-beam) 
  • กลุ่มช่วยลดรอย และลดหลุมสิว Fractional lasers, Picosecond Lasers 

 

วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลสิว

  • ทำความสะอาดร่างกายและใบหน้าทุกวัน แต่ระวังไม่ควรล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวหน้ามากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวหนังเสียสมดุล การล้างหน้าควรล้างเพียงวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ยกเว้นช่วงที่เสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรือช่วงที่คิดว่าผิวหนังสกปรก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
  • หลีกเลี่ยงแดดจัด เนื่องจากยาบางชนิดอาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง หากใช้ยาประเภทนี้ควรทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเป็นประจำทุกวัน

        สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ รักษาได้และควรเลือกพบแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่ถูกวิธีและตรงจุด และลดความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นสิวอีกด้วย ที่ Palida Clinic มีแพทย์ผู้เชียวชาญประสบการณ์กว่า 15 ปี พร้อมทั้งยังมีครบทั้งยารักษา และเวชสำอางค์ เพื่อเสริมการรักษาสิวให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด ปรึกษาปัญหาสิวฟรี เพียงแอดไลน์ @palidaclinic หรือคลิกลิ้งก์ https://lin.ee/jCMKVbk 

อ้างอิง

https://www.sukumvithospital.com/healthcontent.php?id=194 

https://www.iskycenter.com/knowledge/